เจตนาและการดำเนินการ ERM ของ กลไกอัตราแลกเปลี่ยนยุโรป

ERM ตั้งอยู่บนแนวคิดของอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราคงที่ แต่โดยอัตราแลกเปลี่ยนผันแปรได้ภายในขอบเขต ซึ่งแนวคิดดังกล่าวยังได้ชื่อว่า ระบบกึ่งอิงเงินสกุลอื่น (semi-pegged system) ก่อนเริ่มใช้เงินสกุลยูโร อัตราแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่กับหน่วยเงินตรายุโรป ซึ่งมูลค่าพิจารณาจากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเศรษฐกิจประเทศผู้เข้าร่วม

กริด (ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Parity Grid) ของอัตราทวิภาคี คำนวณได้จากพื้นฐานของอัตรากลางเหล่านี้ที่แสดงใน ECU และความผันผวนสกุลเงินต้องถูกจำกัดภายในขอบ 2.25% ทั้งสองฝ่ายของอัตราทวิภาคี (ยกเว้นสกุลลีร่าอิตาลี ซึ่งอนุญาตให้ขอบเป็น 6%) การแทรกแซงที่กำหนดและข้อตกลงกู้ยืมคุ้มครองสกุลเงินที่เข้าร่วมมิให้มีอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมากขึ้น

ใน พ.ศ. 2536 ขอบเขตดังกล่าวขยายเป็น 15% เพื่อจัดให้เหมาะสมกับเงินฟรังก์ฝรั่งเศสและสกุลอื่น

การถูกบีบออกจาก ERM ของปอนด์สเตอร์ลิง

สหราชอาณาจักรเข้า ERM ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2533 แต่ถูกบีบให้ออกจากโครงการภายในสองปีหลังปอนด์สเตอร์ลิงได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากผู้สังเกตการณ์เงินตรา รวมทั้งจอร์จ โซรอส เหตุการณ์ตลาดหลักทรัพย์ตกเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2535 ที่เกิดขึ้นตามมา ถูกขนานนามภายหลังว่า "วันพุธทมิฬ" มีการทบทวนทัศนะต่อเหตุการณ์นี้โดยแสดงสมรรถนะทางเศรษฐกิจอันแข็งแกร่งของสหราชอาณาจักรหลัง พ.ศ. 2535 โดยมีผู้วิจารณ์เรียกว่า "วันพุธขาว"[1] นักวิจารณ์บางคน หลังนอร์แมน เท็บบิต เรียก ERM ว่าเป็น "กลไกถดถอยตลอดกาล" (Eternal Recession Mechanism)[2] หลังสหราชอาณาจักรเข้าสู่ห้วงเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 1990 สหราชอาณาจักรใช้เงินกว่า 6,000 ล้านปอนด์พยายามรักษาค่าเงินให้อยู่ในขีดจำกัดแคบ ๆ โดยมีรายงานกว้างขวางว่า รายได้ส่วนตัวของโซรอสมีถึง 1 พันล้านปอนด์ เทียบกับ 12 ปอนด์ของประชากรอังกฤษแต่ละคน[3][4][5] และขนานนามโซรอสว่าเป็น "ชายผู้ทุบธนาคารอังกฤษ"